กว่าจะมาเป็น วุ้นมะพร้าวไฟเบอร์สูง

วุ้นมะพร้าวเป็นอาหาร/ขนมที่มีที่มาจากฟิลิปปินส์ โดยเริ่มเป็นที่นิยมช่วงยุค 2520

จุดกำเนิดแรกที่ย้อนกลับไปได้ เริ่มที่ปี 2492 โดย Teodula Kalaw Africa ซึ่งเขียนเป็นวิทยานิพนธ์ โดยเป็นการดัดแปลงมาจากขนมที่มีอยู่ก่อนแล้วนั่นก็คือ วุ้นสัปปะรด

แรกเริ่มเลย ฟิลิปปินส์มีอุตสาหกรรมผ้าใยสัปปะรด Pina ในกระบวนการผลิต เมื่อได้เส้นใยแล้วจะมีการใช้กรดในการฟอกสี โดยกรดนี้ได้จากน้ำหมักเปลือกสัปปะรด น้ำที่ฟอกสีเส้นใยจะถูกทิ้งเป็นน้ำเสีย

ทีนี้ ราวๆปี 2404 ที่โรงผลิตผ้าใยสัปปะรด ใน Pagsanjan Laguna มีคนสังเกตว่ามีของที่เป็นเหมือนเยลลี่หยุ่นๆก่อตัวในน้ำทิ้ง และเยลลี่นี่เอามากินได้

ในบางแหล่ง ระบุชื่อว่าชื่อ Luisa Fernandez … ซึ่งต้องกล้าขนาดไหนที่เอาของแบบนั้นมากิน

หลังจากนั้นก็มีการทำเป็นขนมแบบจริงจังเรียกว่า Nata de Pina โดยใช้ส่วนที่มาจากเปลือกผลสัปปะรดในการผลิต เป็นขนมที่คนนิยมกัน

ข้อเสียคือ สัปปะรดที่นั่นปลูกและให้ผลผลิตเป็นฤดูกาลและใช้กับอุตสาหกรรมเส้นใยแล้ว ดังนั้นผลผลิตที่จะเอามาใช้ทำขนมเลยยุ่งยาก ทำให้ราคาแพงและไม่มีความแน่นอนในการผลิต

Teodula K. Africa เลยทำเป็นวิทยานิพนธ์ โดยทดลองใช้เชื้อ Leuconostoc mesenteroides ซึ่งเป็นเชื้อที่พบในเหล้าหมักมะพร้าว ทดลองทำวุ้นมะพร้าวในบ้านตัวเอง

หลังจากนั้นมา มีการแตกแขนงงานวิจัยออกไปมากมาย พัฒนาเชื้อ เลือกเชื้อ หาส่วนผสมและกระบวนการ พัฒนาผลิตภัณฑ์ จนกระทั่งได้เป็นวุ้นมะพร้าวแบบที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน

เชื้อที่ใช้กันในปัจจุบัน คือ Komagataeibacter xylinus

เชื้อที่ใช้ในการผลิตวุ้นมะพร้าว จะสร้างสารที่เป็นพวกเซลลูโลสออกมา ลักษณะทางเคมีเหมือนเซลลูโลสผนังเซลล์ของพืช แต่ว่าโครงสร้างมีหลายรูปแบบ มีความสามารถในการดูดซับน้ำ เลยทำให้เกิดเป็นเหมือนเจลหยุ่นๆ บางชนิดนอกจากสร้างเซลลูโลส ยังสร้างกรดออกมาด้วย

โดยเชื้อพวกนี้สร้างกรดและสร้างเซลลูโลสออกมา เพราะว่า เมื่อมีกรด จะฆ่าเชื้ออื่นๆทำให้ลดคู่แข่งหาอาหารได้ … และการสร้างเซลลูโลส จะเป็นเหมือนไบโอฟิลม์ ขัดขวางเชื้ออื่นไม่ให้เข้ามาแย่งอาหารมัน

ตามปกติ เชื้อพวกนี้มันมีตามผลไม้อยู่แล้ว โดยเกาะเป็นเชื้อประจำถิ่นตามผิวหรือรอยเจาะของผลไม้ เชื่อว่าเผยแพร่โดยแมลง เพราะว่าเชื้ออาศัยในทางเดินอาหารของแมลงหวี่และแมลงวันผลไม้ได้

ในปัจจุบัน นอกจากวุ้นมะพร้าว และวุ้นสัปปะรด ยังมีการผลิตวุ้นจากผลผลิตหลายอย่าง เช่น สาหร่ายกูโซ เนื้อโกโก้ ปาล์ม เปลือกกล้วย

แต่ของที่เป็นที่นิยมมากที่สุดก็ยังคงเป็นวุ้นมะพร้าวนั่นเอง

ทั้งนี้เซลลูโลสในวุ้นมะพร้าว เป็นเส้นใยที่มนุษย์ย่อยไม่ได้ ดังนั้นเลยกลายเป็นขนมที่มีไฟเปอร์ไปโดยปริยาย

vunmapraw

อ่านเพิ่มเติม
Philippine Fermented Foods: Principles and Technology 2008
Tikim: Essays on Philippine Food and Culture 1994
Establishing a Role for Bacterial Cellulose in Environmental Interactions: Lessons Learned from Diverse Biofilm-Producing Proteobacteria , 2015 Front Microbiol.

งานวิจัยของ AFRICA, Y KALAW, Teodula “The Production Of Nata From Coconut Water”; M.S. Chemistry; University of Santo Tomas; 1948 อยู่ใน Unitas ใน Google book

 

ภาพ ナタ・デ・ココโดย Midori จาก wikipedia
เนื้อหาจากเพจ ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว

ทำไมสตรอว์เบอร์รี่ ช่วยลดความอ้วนได้ และดีต่อสุขภาพ??

สรรพคุณของสตรอว์เบอร์รีต่อสุขภาพ

  1. ลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ มีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกาว่าสตรอว์เบอร์รีสามารถลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ 32 % ในหญิงวัยกลางคน
  2. ลดความเสี่ยงการเป็น stroke มีใยอาหารที่สูงมากจึงมีส่วนช่วยลดไขมันที่จะไปอุดตันในเส้นเลือดได้
  3. ป้องกันมะเร็ง ในสตรอว์เบอรรี มี Antioxidant สูง มีผลทำให้ลดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง
  4. ลดความดันโลหิตสูง ในสตรอว์เบอรรีมีโพแตสเซี่ยมสูงทำให้ไปลดโซเดียมที่ทำให้เป็นความดันสูง นอกจากนี้ยังมีสารฟลาโวนอยด์ที่ มีคุณสมบัติในการควบคุมระดับความดันโลหิตในเลือดให้สมดุล
  5. ป้องกันอาการอักเสบ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่า สารต้านอนุมูลอิสระในสตรอว์เบอร์รี่ สามารถลดอาการเจ็บปวดจากโรคที่เกิดการอักเสบภายในร่างกายลง เช่น โรคเกาต์ โรคข้อเสื่อม นอกจากนี้สารพฤกษเคมีที่พบในสตรอว์เบอร์รี่ ยังมีคุณสมบัติกำจัดกรดยูริก ที่เป็นสาเหตุของอาการเจ็บปวดตามข้ออีกด้วย
  6. ป้องกันสมองเสื่อม สารโคลีนที่พบในสตรอว์เบอร์รี สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้ และยังช่วยเพิ่มการทำงานของสมองในส่วนความจำมากขึ้น
  7. ลดการสะสมไขมัน สตรอว์เบอร์รีมีคุณสมบัติกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนอะดิโปเนกติน และฮอร์โมนเลปติน ซึ่งฮอร์โมนทั้งสองชนิดนี้ ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ทำให้ไขมันที่สะสมในร่างกายลดลง
  8. ลดคอเลสเตอรอล สตรอว์เบอร์รีมีสารเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ดี นอกจากนี้วิตามินซี ยังช่วยขจัดคอเลสเตอรอลที่เกาะอยู่ตามผนังหลอดเลือดอีกด้วย จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคต่าง ๆ ที่เกิดจากไขมันอุดตันในหลอดเลือด
  9. กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน การรับประทานสตรอว์เบอร์รีจะกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

สรรพคุณของสตรอว์เบอร์รีต่อผิวพรรณ

  1. ทำให้ผิวพรรณสดใส จากผลการศึกษาวิจัยพบว่า วิตามินซีในสตรอว์เบอร์รี มีส่วนช่วยลดริ้วรอย ป้องกันริ้วรอย ทำให้ผิวพรรณสดใส และชะลอความเสื่อมของผิวได้ดี
  2. ช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน จึงช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้เป็นอย่างดี
  3. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส ด้วยการนำผลสตรอเบอร์รี่สดมาฝานบาง ๆ วางให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
  4. ใช้ทำความสะอาดผิวหน้า ด้วยการใช้สตรอเบอร์รี่ประมาณ 3 ผล ผสมกับน้ำมะนาว แล้วนำมานวดทาบริเวณใบหน้าแล้วล้างออก ซึ่งจะช่วยทำความสะอาด ปรับสภาพผิว และลดการอุดตันของรูขุมขนได้
  5. ช่วยลดน้ำหนัก เป็นผลไม้ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ต้องการจะลดน้ำหนักและความอ้วน เพราะมีพลังงานต่ำ

เมนูสุขภาพจากสตรอว์เบอร์รี

สตรอว์เบอร์รีสามารถนำมาประกอบอาหารได้ทั้งอาหารคาว และอาหารหวาน ดังนี้

  1. ยำสตรอว์เบอร์รี ลวกกุ้งเตรียมไว้ ผสมพริกตำ น้ำมะนาว น้ำปลา หัวหอมใหญ่และสตรอว์เบอร์รีหั่นลงไป ในชาม เคล้าทุกอย่างให้เข้ากันอย่างเบามือ ระวังอย่าให้สตรอว์เบอร์รีช้ำ ตักใส่จาน ยกขึ้นเสิร์ฟ
  2. โยเกิร์ตสตรอว์เบอร์รี นำเจลาตินไปแช่ในน้ำเย็นจัดประมาณ 5 นาที ระหว่างรอ นำสตรอว์เบอร์รีไปปั่นให้ละเอียด แล้วเทใส่ลงไปในถ้วยเซรามิก ใส่น้ำเลมอนและน้ำตาลทรายลงไป อบในไมโครเวฟที่ความร้อน 600 w นาน 3 นาที นำออกจากไมโครเวฟแล้วผสมเจลาตินลงไป คนจนละลายแล้วพักไว้ให้เย็น เติมวิปปิ้งครีมที่ตีแล้วลงไปในชามสตรอว์เบอร์รี ผสมให้เข้ากัน แช่ทิ้งไว้ในตู้เย็นอย่างน้อย 4 ชั่วโมง จึงจะรับประทานได้
  3. สตรอว์เบอร์รีชีสเค้ก นำบิสกิตไปบดให้ละเอียด ละลายเนยมาผสมกับบิสกิตบด ตักใส่แก้วหรือจานแล้วเกลี่ยให้เนียน นำไปแช่ไว้ในตู้เย็น 30 นาที ผสมโยเกิร์ต น้ำตาลไอซ์ซิ่ง กลิ่นวานิลลา ครีมชีสให้เข้ากันจนเนื้อเนียน ให้นำส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงไปในแก้วที่ใส่บิสกิต แล้วใส่สตรอว์เบอร์รีลงไป แช่เย็นอีกสักพัก พร้อมรับประทานทันที
  4. สตรอว์เบอร์รีมิลค์เชค ใส่สตรอว์เบอร์รีลงไปในโถปั่น ตามด้วยนมสดรสหวาน น้ำแข็ง ไอศกรีมวานิลลา ปั่นให้ทุกอย่างเข้ากันด้วยความความเร็วสูงสุด เมื่อทุกอย่างเข้ากันแล้ว ตักใส่แก้ว แต่งหน้าด้วยสตรอว์เบอร์รีสด

ข้อควรระวัง

ในสตรอว์เบอร์รี่มีสารประกอบซาลิไซเลตสูงมาก จึงไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ยาแอสไพริน รวมถึงผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารด้วย เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและเป็นอันตรายได้

สรุป

สตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำ รสชาติอร่อยและดีต่อสุขภาพ เพราะอุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่และสารสำคัญต่างๆ มีผลดีต่อร่างกายมากมาย เช่น ลดไขมัน ลดความดันโลหิต ลดการอักเสบ เป็นต้น

 

แหล่งที่มาของข้อมูล hdmall.co.th

เข้าดูรายการเค้กสตรอเบอร์รี่

สูตรเค้กมะม่วงครีมสด Mango cake Recipe

สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ ชาว 119mori.com ช่วงนี้หน้าร้อน เข้าสู่เดือนเมษายน เข้าถึงฤดูมะม่วงแบบเต็มรูปแบบ มะม่วงจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดให้ผู้บริโภคได้รับประทานกันในช่วงฤดูร้อนกันอย่างมากมาย และวันนี้ 119mori.com จึงหยิบมะม่วงมาทำเป็นเค้กมะม่วงครีมสดให้เพื่อนๆ ได้ทำทานกันในช่วงฤดูร้อนนี้กับเค้กมะม่วงครีมสด

ส่วนผสม  Ingredients

  • ขนาดแม่พิมพ์: ความกว้าง 15ซม.

ส่วนผสมเนื้อเค้ก

  1. ไข่แดง 2 ฟอง
  2. น้ำตาลทราย 10 กรัม (1)
  3. Vanilla extract 1  กรัม
  4. น้ำมันรำข้าว 17 กรัม
  5. นมสด 25 กรัม
  6. แป้งเค้ก 35 กรัม
  7. ผงฟู 1 กรัม
  8. ไข่ขาว 2 ฟอง
  9. น้ำตาลทราย 35 กรัม (2)

วิธีทำเนื้อเค้ก

  • ร่อนแป้งสาลีเค้กและผงฟู พักไว้
  • ผสมไข่แดง น้ำตาลทราย (1)  คนด้วยตะกร้อมือ ให้เบามือที่สุด คนจนน้ำตาลละลายหมด เติมนมสด Vanilla extract คนให้เข้ากันดี เติมแป้งเค้กที่ร่อนกับผงฟูลงไป คนจนแป้งเนียนไม่เหลือเม็ดแป้ง แล้วจึงเติมน้ำมันรำข้าว คนจนเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ไม่นาน แล้วกรองด้วยกระชอนตาถี่ 1 ครั้ง พักไว้

เทคนิค: เติมน้ำมันรำข้าวหลังสุด เพื่อให้แป้งดูดน้ำให้หมด โดยไม่มีไขมันมาปิดกั้น

  • ตีไข่ขาวด้วยความเร็วปานกลาง ไปทางสูงเล็กน้อย จนเกิดฟองหยาบๆ  แล้วค่อยเติมน้ำตาลทราย (2) ตีไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบ อาจจะใช้เวลานิดหน่อย จนไข่ขาวตั้งยอดกลาง คือไม่อ่อนและไม่แข็งจนเกินไป
    แบ่งไข่ขาวเป็น 3 ส่วน ผสมกับไข่แดงให้เข้ากันทีละส่วน โดยใช้พายยางคนเข้ากัน (การใช้พายยางจะทำให้ไข่ขาวไม่ฟ่อตัว) และเป็นเนื้อเดียวกัน ลักษณะของเบทเทอร์อาจจะมีฟองอากาศบ้างเล็กน้อย (ถ้าตีไข่ขาวดีๆ จะไม่เกิดฟองอากาศเลย ลักษณะเบทเทอร์จะอยู่ตัวไม่เหลว เทลงพิมพ์ขนาด 1 ปอนด์ (ขนาด6นิ้ว) อบด้วยอุณหภูมิ 170 องศาเซลเซียส ไฟบน-ล่าง ประมาณ 30 นาที หรือจนกว่าขนมจะสุก

👉ส่วนผสมครีมปาดหน้าเค้ก

    1. whipping cream 300g
    2. น้ำตาล 30g

ตีวิปปิ้งครีมด้วยความเร็วจากปานกลาง เพื่อให้ได้วิปครีมที่เนื้อเนียนนุ่มฟูและฟองอากาศที่สม่ำเสมอ พอได้ที่แล้วนำมาปาดหน้าเค้ก

👉 มะม่วงในชั้นเค้ก

  • ใช้ประมาณ 2 ลูก

👉น้ำเชื่อมสำหรับพรมเค้ก

  • ใช้หรือไม่ใช้ก็ได้

👉ส่วนผสม Chocolate Drip ราดบนเค้ก

  • วิปปิ้งครีมหรือHeavy Cream  20g
  • ไวท์ช็อคโกแลต 35g
  • สีผสมอาหารสีเหลือง
  • สีผสมอาหารสีขาว (ไม่จำเป็น)  ใช้ในกรณีที่ต้องให้สีเหลืองมีสีที่อ่อนลง

วิธีทำ Chocolate Drip ราดบนเค้ก

1. นำวิปปิ้งครีมผสมสีอาหาร +ไวท์ช็อคโกแลต  มาทำการละลายแบบ double boiler โดยตั้งน้ำในหม้อ รอน้ำเดือดแล้วหรี่ไฟลงเป็นไฟอ่อน แล้วนำชามสแตนเลสที่มีวิปปิ้งครีม +ไวท์ช็อคโกแลต มาวางลงบนหม้อเพื่อให้ช็อคโกแลตและวิปปิ้งครีมละลายไปพร้อมกัน จากนั้นรอให้เย็นลง ประมาณ 36-37.5 องศาเซลเซียสแล้วค่อยนำมาราดลงบนเค้ก

**คำแนะนำ หากปาดเค้กเรียบแล้วแล้วให้นำเค้กไปแช่ตู้เย็นอย่างน้อย 20-40 นาทีแล้วค่อยนำมาราด Chocolate Drip

สนใจสั่งเค้กมะม่วงสามารถติดต่อ 119mori.com ได้นะคะ

ca132 เค้กมะม่วงครีมสดผสมเนื้อมะม่วง 1 ปอนด์ สลับชั้นมะม่วงสุกสด

 

 

ประโยชน์ของการทานขนมหวาน

กินหวาน อย่างเข้าใจ ก็แข็งแรงได้ จริง ๆ แล้ว ความหวานไม่ใช่สิ่งเลวร้ายแต่อย่างใด ที่มาของความหวานก็คือน้ำตาลซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของมนุษย์ น้ำตาล 1 ช้อนชาจะให้พลังงาน 16 กิโลแคลอรี่ อีกทั้งยังช่วยให้กล้ามเนื้อมีการยืดและหดตัว ควบคุมการเต้นของหัวใจ ช่วยในการไหลเวียนของระบบเลือด ระบบประสาท ระบบเนื้อเยื่อทำงานได้ดีขึ้น และช่วยให้การส่งข้อมูลของระบบประสาทต่าง ๆ ไปยังสมองมีความถูกต้องแม่นยำ  ประโยชน์ของขนมหวาน เป็นการช่วยทำให้ผู้รับประทานรู้สึกอารมณ์ดี เพราะน้ำตาลจะช่วยกระตุ้นให้สารเคมีในสมอง อย่างเอ็นโดรฟินหลั่ง ทำให้รู้สึกอารมณ์ดี ลดความเครียดได้

นอกจากนี้ หากร่างกายได้รับน้ำตาลในปริมาณที่พอดี ตับอ่อนจะปล่อยอินซูลินเข้าสู่กระแสเลือด ส่งผลให้สมองสร้างสารเซโรโทนินออกมา สารนี้ทำหน้าที่ด้านการแสดงออกทางอารมณ์และควบคุมการนอนหลับ ช่วยลดความวิตกกังวล สังเกตได้จากหลังทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตไปราวครึ่งชั่วโมง เรามักรู้สึกผ่อนคลายและสงบ

อย่างไรก็ดี แม้จะมีประโยชน์กับร่างกาย แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ “ความพอดี” อะไรที่เกินพอดีย่อมมีแต่ผลเสียทั้งสิ้น ความหวานก็เช่นกัน

 

ที่มาของบทความ

www.thaihealth.or.th
www.pobpad.com
www.119mori.com

 

โฮมเบเกอรี่คืออะไร? ( Homemade Bakery )

โฮมเบเกอรี่ คือธุรกิจเบเกอรี่ที่ทำเองที่บ้านซึ่งดำเนินการจากห้องครัวในที่พักอาศัย (มีเตาอบ เตา และตู้เย็นเพียงเครื่องเดียว) เพื่อผลิตขนมอบโดยเราสามารถอบเค้ก บราวนี่และคุกกี้และจำหน่ายทางออนไลน์ แบบทั้งมีหน้าร้านและไม่มีหน้าร้านก็ได้ เป็นขนมที่ทำด้วยตนเองโดยนำไปร่วมกิจกรรมของชุมชน งานเทศกาล และตลาดเป็นต้น ต่อมาพัฒนาเป็นธุรกิจที่เติบโตรวดเร็วแบบฉุดไม่อยู่ มีทั้งเค้กอบใหม่ส่งขายวันต่อวัน และการผลิตแบบสั่งทำโดยเฉพาะ นับเป็นช่องทางทำเงินที่น่าสนใจ และเริ่มต้นไม่ยาก งบประมาณต้นทุนไม่สูงนัก ใช้เวลาอบภายในไม่กี่นาทีด้วยเตาอบทั่วไปก็อบขนมเค้กแสนอร่อยได้แล้ว นอกจากนี้ยังสามารถโปรโมทผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เรื่องสร้างรายได้จึงง่ายอย่างคาดไม่ถึง และกลายเป็นธุรกิจในฝันของใครหลายคนในปัจจุบัน

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ โฮมเมดเบเกอร์รี่ ( Homemade Bakery ) มีดังนี้

  • การควบคุมคุณภาพ: คุณจะได้รับขนมอบแบบโฮมเมด อบตามสั่งเสมอไม่มีของค้างและอบใหม่ตั้งแต่ต้น ด้านคุณภาพเห็นได้ชัดเจนว่าในสินค้าเค้ก โฮมเมด ย่อมมีคุณภาพมากกว่าการธุรกิจ เบเกอรี่ ( Bakery ) แบบรับมาขายไป เนื่องจากเค้ก โฮมเมด ผู้ประกอบการสามารถคัดเลือกวัตถุดิบได้ด้วยตนเอง ควบคุมการผลิตเอง ทำให้ได้สินค้าที่สดสะอาด และได้มาตรฐานมากกว่าการรับมาขาย กลุ่มลูกค้าส่วนมากยังให้ความนิยมในสินค้า โฮมเมด มากกว่าอีกด้วย
  • ความอุ่นใจ:คุณสามารถมั่นใจได้ว่าขนมอบของเราปลอดภัยสำหรับคุณ เพื่อน และครอบครัวของคุณ โดยไม่ใส่สารกันบูดหรือสารเสริมใดๆ
  • ความโปร่งใส:คุณจะรู้อยู่เสมอว่าคุณกำลังซื้ออะไร  ได้ของที่สดใหม่ (และหากคุณมีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับส่วนผสม สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้) คุณจะได้เพลิดเพลินไปกับเค้กที่แสนอร่อย
  • ทางเลือก:คุณจะได้สิ่งที่ร้านค้าและส่วนผสมสำเร็จรูปไม่สามารถให้ได้— ของดีแบบโฮมเมด (โดยเฉพาะถ้าคุณต้องการเค้กแบบไม่มีกลูเตนหรือทานอาหารคีโตก็สามารถแจ้งได้ค่ะ )
  • ความพร้อมใช้งานและความยืดหยุ่น:คุณสามารถสั่งซื้อออนไลน์ได้ ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน และรับสินค้า ให้จัดส่ง หรือจัดส่งก็ได้ค่ะในระยะทางไม่เกิน 2 กิโลเมตร