Strawberry Calpis Jelly

Strawberries 🍓 are coming to an end,
It’s cheaper!
(Some places don’t change that much 🙏)

Cheap strawberries 🍓
And you can freeze it too 🍓🤗
Cause I want that ice cream in the summer😏

And before 😆
Can’t forget this one too 🤣
To everyone who made it last year
Thank you so much 😊🍓

Just mix it in easy
I make delicious sweets 🍓

Strawberry Calpis Jelly

  • *8g powdered gelatin
  • cold water 30g
    Gelatin in cold water
    Swing in and keep at least 15 minutes

*strawberry 200g+ 2 〜3 pieces for decorating
Take the blade and put it in a bowl
Crush with a fork

☆Calpis Raw Liquid 100cc
☆milk 50cc
☆Water 200cc
Top ☆ into a bowl of strawberries
I can get in

No wrap fuzzy gelatin
600W for about 50 seconds to 1 minute
Putting in a bowl of strawberries

Add 1 small lemon juice to your liking
It’s refreshing to put in!
It’s OK if you don’t!

Pour into glasses and other things to cool down.
When you don’t have a glass, make it big
With a scop type🙆 (5th pic)

Finishing touches!

Freeze-dried fruit ผลไม้ฟรีซดราย ประโยชน์มีมาก คุณค่าทางอาหารคบ

Freeze-dried fruit เป็นการแปรรูปอาหารที่ค่อนข้างสมบูรณ์ วัตถุประสงค์คือเพื่อที่จะทำให้อาหารนั้นๆ อยู่ในสภาพที่คล้ายของเดิมมากที่สุด ทั้งรสชาด และ กลิ่น

วิธีการที่เขาเอามาแช่เยือกแข็ง (ยิ่งกว่าแช่แข็ง) แบบกระทันหัน ทำให้รสชาด หรือสารอาหาร อายุของอาหาร แม้กระทั่งกลิ่น ก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยอุณหภูมิต่ำกว่า -40 องศา แล้วเอาเข้าเครื่องที่ดูดเอาความชื้นออกจากอาหารให้หมด

ดังนั้นผลคือ…อาหารจะแห้ง และ กรอบ!!!

และถ้าเอาออกมาทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกตินั้นความชื้นในอาการจะทำให้อาหาร Freeze Dried นั้นนิ่มลง คือการที่ความชื้นในอากาศเข้าไปทดแทน…แต่กลิ่น, รสชาด, ยังอยู่ครับ

 

ประโยชน์ของผลไม้ฟรีซดราย  Freeze-dried fruit

ผลไม้ฟรีซดราย ประโยชน์ที่มีมากกว่าที่คุณคิด โดยผลไม้จะถูกทำให้แข็งด้วยความเย็นแต่ก็ไม่ได้ลดคุณประโยชน์ของผลไม้ลงเลย นอกจากคุณประโยชน์และสารอาหารยังอยู่ครบถ้วน

  • รักษาคุณภาพ มีสีใกล้เคียงกับผลไม้สดการฟรีซดนำไปลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว ทำให้คุณภาพสีของผลไม้ยังคงดีไม่มีเนาเสีย รู้สึกเหมือนกินผลไม้สด
  • รักษาสารอาหารเทียบเท่ากับผลไม้สด ถึงแม้จะมีการถนอมอาหารโดยการทำให้แข็งด้วยความเย็นแต่ผลไม้ฟรีซดราย ประโยชน์ยังมีเทียบเท่ากับผลไม้สดรักษาคุณภาพสารอาหารได้ดี ยังเป็นผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วน
  • เก็บในอุณหภูมิห้องมากกว่านานกว่า 20 ปี สิ่งที่ดีของ Freeze Dried คือการเก็บไว้ได้ยาวนานกว่า โดยผลไม้ไม่เสียสามารถเก็บไว้ได้ที่อุณหภูมิห้องโดยไม่ต้องแช่เย็นได้มากกว่า 20-30 ปี
  • รสชาติดี กินง่ายกว่าผลไม้สด ใครที่ไม่ชอบกินผลไม้สด เพราะความเปรี้ยว ฝาด ไม่ถูกปากลองกินผลไม้ฟรีซดราย ที่รับรองว่ากินง่ายกว่า รสชาติดีกว่าผลไม้สด กลิ่นอ่อนกว่า รสชาติอ่อนกว่า และยังท่านง่ายกว่า เหมาะสำหรับคนชอบกินผลไม้ หรือไม่ชอบกลิ่นแรง ๆ

แหล่งที่มาของข้อมูลและรูปภาพ : https://promotions.co.th

Pantip คุณสมาชิกหมายเลข 1085247 : https://pantip.com/topic/32777090

หลักการทานดาร์กช็อกโกแลตและสุขภาพ

ช็อกโกแลตมีมาตั้งแต่ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ในสมัยนั้น ชาวมายาจากอเมริกากลาง ซึ่งเป็นผู้ชื่นชอบช็อกโกแลตกลุ่มแรก
ดื่มช็อกโกแลตเป็นเครื่องดื่มหมักรสขมผสมกับเครื่องเทศหรือไวน์ แต่ปัจจุบัน ช็อกโกแลตที่มีรูปร่างทรงต่างๆ ที่วางเรียงรายขายกันใน Supermarket ที่เราเห็นนั้นคือผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายจากขั้นตอนต่างๆ เพราะทุกอย่างล้วนเริ่มต้นจากเมล็ดโกโก้ที่มีขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือของเรา เมล็ดโกโก้จะถูกแยกออกจากฝัก หมัก ตากแห้ง และคั่วจนได้สิ่งที่เราเรียกว่าเมล็ดโกโก้ จากนั้นจึงแยกเปลือกของเมล็ดโกโก้ออกจากเนื้อหรือเมล็ดโกโก้ จากนั้นก็บดเมล็ดโกโก้ให้เป็นของเหลวที่เรียกว่าเหล้าช็อกโกแลต และแยกออกจากส่วนที่มีไขมันหรือเนยโกโก้ จากนั้นจึงกลั่นเหล้าโกโก้ให้บริสุทธิ์อีกครั้งเพื่อผลิตโกโก้และช็อกโกแลตที่เรารับประทาน หลังจากแยกเมล็ดโกโก้ออกแล้ว เมล็ดโกโก้จะถูกบดให้เป็นผงโกโก้ที่ใช้ในการอบหรือเครื่องดื่ม

  • ดาร์กช็อกโกแลตประกอบด้วยโกโก้ เนยโกโก้ และน้ำตาล 50-90%
  • ในขณะที่ช็อกโกแลตนมประกอบด้วยโกโก้ เนยโกโก้ นม และน้ำตาล 10-50% แม้ว่าดาร์กช็อกโกแลตไม่ควรมีนม แต่ก็อาจจะมีนมปนเปื้อนระหว่างการแปรรูปเนื่องจากมักใช้เครื่องจักรเดียวกันในการผลิตนมและดาร์กช็อกโกแลต
  • ช็อกโกแลตผสมอาจเติมเนย น้ำมันพืช สีหรือรสชาติเทียม
  • ไวทช็อคโกแลต ไม่มีโกโก้ใดๆ และทำมาจากเนยโกโก้ น้ำตาล และนมเท่านั้น

ดาร์กช็อกโกแลต ผลิตจากเมล็ดโกโก้เช่นเดียวกับช็อกโกแลตประเภทอื่น แต่ต่างกันตรงที่มีสัดส่วนของปริมาณโกโก้ที่สูงกว่า ดาร์กช็อกโกแลตที่วางขายส่วนใหญ่จะมีเปอร์เซ็นต์ของผงโกโก้ ดังนี้

  • ผงโกโก้ 50%: มีรสชาติทานแล้วยังมีรสหวาน
  • ผงโกโก้ 70%: มีรสชาติขมขึ้นมาเล็กน้อย ผู้ที่ดื่มกาแฟดำ 100% ปริมาณโกโก้เท่านี้สามารถทานได้
  • ผงโกโก้ 80%: รสชาติขม นิยมเอาไปทำขนม อาหาร หรือใส่ในเครื่องดื่มมากกว่า
  • ผงโกโก้ 90%: รสชาติขมมาก และมีรสเปรี้ยวที่ติดปาก

ประโยชน์ของดาร์กช็อกโกแลต

  • มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งหลายการศึกษาพบว่าสารโพลีฟีนอลจะช่วยเสริมให้หลอดเลือดแข็งแรง มีส่วนช่วยเพิ่มไขมันคอเลสเตอรอลชนิด HDL ซึ่งช่วยลดการอักเสบและการก่อตัวของลิ่มเลือดได้
  • ลดระดับความดันโลหิต การทานดาร์กช็อกโกแลตสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ช่วยลดความดันโลหิต ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ป้องกันเส้นเลือดอุดตันและป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว
  • ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เนื่องจากดาร์กช็อกโกแลตอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และวิตามินที่สำคัญต่อร่างกายมากมาย จึงช่วยบำรุงเลือดทำให้เกิดการไหลเวียนโลหิตได้ดีขึ้น และเป็นการป้องกัน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูงได้ไปในตัว
  • ช่วยเพิ่มระดับไขมันดี HDL และลดไขมันไม่ดี LDL ในร่างกาย ใน American Journal of Clinical Nutrition ระบุไว้ว่า ในโกโก้และดาร์กช็อกโกแลตจะมีสารฟลาโวนอยด์ และโพลีฟีนอลในดาร์กช็อกโกแลต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีหรือ LDL และเพิ่มคอเลสเตอรอลดีอย่าง HDL ในเลือดได้
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง สารฟลาโวนอยด์ในดาร์กช็อกโกแลต มีฤทธิ์ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้ออกซิเจนและเลือดลำเลียงไปสู่สมองได้ดี ทำให้เราจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นไปด้วย
  • ช่วยลดความเครียด จากที่มีการศึกษาพบว่า คนที่ทานดาร์กช็อกโกแลตปริมาณ 40 กรัมทุกวันนาน 2 สัปดาห์ส่งผลให้ระดับฮอร์โมนแห่งความเครียดลดลง เมื่อเทียบกับวันแรกที่เริ่มทาน

แม้ดาร์กช็อกโกแลตจะมีประโยชน์กับร่างกาย แต่หากทานในปริมาณที่มากเกินไปก็จะได้รับน้ำตาลและไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง ซึ่งส่งผลเสียกับร่างกาย จึงควรทานในปริมาณที่เหมาะสม คือ 20 – 30 กรัม หรือ 1 ชิ้นเล็ก ต่อวัน และควรเลือกช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของโกโก้อย่างน้อย 70 % ขึ้นไปเนื่องจากจะมีส่วนประกอบของน้ำตาลน้อย และมีสารฟลาโวนอยด์สูง

ดาร์กช็อกโกแลตนอกจากจะมีน้ำตาลน้อยกว่าช็อกโกแลตประเภทอื่นแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระและแร่ธาตุต่าง ๆ อีกด้วย เช่น

  • ฟลาโวนอยด์
  • ธาตุเหล็ก
  • ทองแดง
  • สังกะสี
  • แมกนีเซียม
  • ฟอสฟอรัส เป็นต้น

หลักการทานช็อกโกแลต

เนื่องจากรสขมจะเพิ่มขึ้นตามเปอร์เซ็นต์ของโกโก้ที่มากขึ้น ลองหยิบช็อกโกแลตชิ้นเล็กๆ แล้วปล่อยให้ละลายช้าๆ ในปาก เทคนิคนี้อาจให้ประสบการณ์ที่แตกต่างและเป็นที่น่าพึงพอใจมากกว่าการเคี้ยวและกลืนช็อกโกแลตอย่างรวดเร็ว

ข้อควรระวังในการรับประทาน

ยิ่งโกโก้มีเปอร์เซ็นต์สูงเท่าไร รสขมก็จะยิ่งมากขึ้น ปริมาณคาเฟอีนก็จะยิ่งสูง แม้ว่าดาร์กช็อกโกแลตจะมีคาเฟอีนอยู่บ้าง แต่ปริมาณน้อยมากจึงไม่ส่งผลให้นอนไม่หลับหรือใจสั่น

เอกสารอ้างอิง

https://www.hsph.harvard.edu/nutritionsource/food-features/dark-chocolate/
https://www.medparkhospital.com/lifestyles/health-benefits-of-dark-chocolate

ผงโกโก้

รู้หรือไม่ ทำไมถึงใส่ผงโกโก้ในเค้กกาแฟ ??

การใส่ผงโกโก้เล็กน้อยลงในเค้กกาแฟมีเหตุผลหลายประการ:

เสริมรสชาติ:

ผงโกโก้ช่วยเพิ่มความเข้มข้นและความซับซ้อนของรสชาติกลมกลืนกับรสกาแฟ เนื่องจากกาแฟและโกโก้มีโน้ตรสชาติที่เข้ากันได้ดี

ปรับสมดุลรสชาติ:

ช่วยลดความเปรี้ยวของกาแฟ โดยเฉพาะถ้าใช้กาแฟที่มีความเปรี้ยวสูงเพิ่มความหวานและความขมเล็กน้อย ทำให้รสชาติโดยรวมกลมกล่อมขึ้น

ปรับปรุงสีสัน:

ช่วยให้เค้กมีสีเข้มขึ้น ดูน่ารับประทานและเป็นเค้กรสกาแฟมากขึ้น

กลบกลิ่นไข่:

ผงโกโก้สามารถช่วยลดกลิ่นไข่ที่อาจเด่นชัดในเค้กบางสูตร

เพิ่มความหลากหลายของรสชาติ:

ทำให้เค้กมีรสชาติคล้ายโมคค่า ซึ่งเป็นที่นิยมในเครื่องดื่มกาแฟ

Cr.Cooking Station

Panna Cotta (พานาคอตต้า) ขนมหวานสายเฮลท์ตี้ จากอิตาลี

ย้อนรอยประวัติ “Panna Cotta” (พานาคอตต้า) ขนมหวานยอดนิยมจากอิตาลี
Panna Cotta” (พานาคอตต้า) เป็นขนมหวานเนื้อครีมนุ่มละมุนสัญชาติอิตาเลียน ทำมาจากครีม นม น้ำตาล และเจลาติน โดยทั่วไปจะปรุงรสด้วยวานิลลา เสิร์ฟพร้อมกับซอสผลไม้ คาราเมล หรือช็อกโกแลต
.
ต้นกำเนิดของ Panna Cotta มีประวัติค่อนข้างคลุมเครือ แต่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่ามีต้นกำเนิดมาจากแคว้นพีดมอนต์ (Piedmont ) ทางตอนเหนือของอิตาลี โดยสูตรดั้งเดิมที่ได้รับการบันทึกไว้ระบุว่า Panna Cotta ถูกคิดค้นโดยหญิงสาวชาวฮังการีที่อาศัยอยู่ในอิตาลีช่วงต้นศตวรรษที่ 19
.
Panna Cotta ในยุคแรกทำขึ้นโดยใช้ส่วนผสมง่าย ๆ ที่มีในแคว้นพีดมอนต์ ได้แก่ ครีม นม น้ำตาล และเจลาติน ซึ่งในอดีตจะทำโดยใช้กระดูกปลาต้มเป็นเจลาตินธรรมชาติ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อการผลิตเจลาตินเริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม เจลาตินแบบผงก็ได้รับการพัฒนาขึ้น จนกลายมาเป็นส่วนผสมหลัก ทำให้ Panna Cotta มีเนื้อสัมผัสที่สม่ำเสมอ และสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
.
นอกจากประวัติดังกล่าวแล้ว หลายคนยังเชื่อว่า Panna Cotta มีต้นกำเนิดที่เก่าแก่กว่านั้น เพราะในช่วงยุคกลางของยุโรปบางประเทศมีขนมหวานที่ลักษณะคล้ายกับ Panna Cotta เช่น ในฮังการีมีขนมหวานที่ชื่อว่า Krémes และในฝรั่งเศสมีขนมหวานที่ชื่อว่า Blanc Manger
.
โดยปกติแล้ว Panna Cotta มักจะปรุงรสด้วยวานิลลาเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็มีรสชาติใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น กาแฟ ช็อกโกแลต และผลไม้ เสิร์ฟพร้อมกับซอสผลไม้ คาราเมล หรือช็อกโกแลต เพื่อเพิ่มรสชาติ และสีสัน
.
นอกจากความหลากหลายทางด้านรสชาติแล้ว การนำเสนอ Panna Cotta ก็ได้รับพัฒนาไปด้วยเช่นกัน จากการเสิร์ฟในถ้วยราเมกิ้นแบบดั้งเดิม ไปจนถึงการแกะออกจากพิมพ์วางบนจาน พร้อมตกแต่งด้วยผลไม้สดหลากหลายชนิด
.
ในปี 1960 Ettore Songia (เอตโตเร ซองเกีย) เชฟชื่อดังของร้านอาหาร “i tre citroni” ในอิตาลีได้เพิ่มสูตร Panna Cotta ที่เรารู้จักกันในปัจจุบันลงในเมนูร้านอาหาร โดย Panna Cotta ของเขาขึ้นชื่อในเรื่องความนุ่มละมุน และครีมมี่ สิ่งนี้ทำให้ Panna Cotta ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วทั่วอิตาลี
.
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 Panna Cotta เริ่มได้รับความนิยมในหลายประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากชาวอิตาลีย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น โดยเฉพาะอเมริกา และพวกเขาก็นำเอาวัฒนธรรมการทำอาหารติดตัวไปด้วย
.
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Panna Cotta กลายเป็นเมนูขนมหวานที่ได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ เชฟยุคใหม่เริ่มนำเสนอรสชาติที่หลากหลาย เช่น มัทฉะ ลาเวนเดอร์ อัลมอนด์ กะทิ และอื่น ๆ อีกมากมาย รวมถึงมีการตกแต่งให้มีความน่าสนใจหลากหลายรูปแบบด้วยค่ะ

วัตถุดิบส่วนที่ 1

  1. ผงวุ้น 2 ช้อนชา
  2. ผงเจลาติน 2 ช้อนชา
  3. กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา
  4. วิปปิ้งครีม 250 กรัม
  5. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  6. นมสดรสจืด 250 กรัม

วัตถุดิบส่วนที่ 2

  1. น้ำตาลทราย 20 กรัม
  2. เกลือ 1 ช้อนชา
  3. ผงวุ้น 1 ช้อนชา
  4. ผงเจลาติน 1 ช้อนชา
  5. น้ำส้มแท้ 100% 300 มิลลิลิตร
  6. น้ำสะอาด ถ้าข้นไปเติมเพิ่มได้
  7. เนื้อส้ม 1 ถ้วย

 

ขั้นตอนวิธีการทำ

  1. ขั้นตอนแรกใส่น้ำส้ม ผงวุ้น และเจลาตินลงไปในหม้อ พักไว้ 5 นาที จากนั้นเปิดเตา
  2. ต้มด้วยไฟอ่อนให้พอเดือดเดือด ระหว่างนี้ให้คนตลอดเวลาเพื่อให้ส่วนผสมละลายเข้ากันดี ปรุงรสด้วยเกลือ และน้ำตาลทราย
  3. ตักส่วนผสมในขั้นตอนที่ 1 ในปริมาณครึ่งภาชนะแล้วนำไปพักไว้ในตู้เย็นให้เนื้อขนมเซทตัว
  4. ใส่น้ำสะอาด ผงวุ้น และผงเจลาตินลงไปในหม้อ พักไว้ 5 นาที ตามด้วยนมสด จากนั้นนำไปต้มด้วยไฟกลาง ใช้ตะกร้อมือคนให้ส่วนผสมละลายเข้ากัน เมื่อเริ่มเดือด
  5. แล้วให้ใส่น้ำตาลทราย วิปปิ้งครีม และกลิ่นวานิลลา เมื่อเริ่มเดือดอีกครั้งให้ปิดเตาได้เลย
  6. นำส่วนผสมที่เซทตัวแล้วออกมาจากตู้เย็น ใส่ส่วนผสมที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 3 ลงไป โดยใช้ตะแกรงรองก่อน เพื่อไม่ให้มีฟองอากาศ นำไปพักในตู้เย็นอีกครั้ง
  7. ขั้นตอนสุดท้ายตกแต่งหน้าขนมด้วยเนื้อส้มให้สวยงาม เป็นอันเสร็จสิ้นรับประทานได้เลย

แนะนำสูตรขนมสำหรับคนลดน้ำหนัก

ใครที่กำลังทาน อาหารคีโต กำลังควบคุมน้ำหนัก หรือเป็นหนึ่งคนที่กำลังประสบปัญหาโรคเบาหวานก็สามารถทาน พานาคอตต้า ได้เช่นเดียวกันค่ะ โดยการนำ สูตรขนม ที่เราได้แนะนำไปปรับใช้ได้ด้วยการงดใช้วัตถุดิบบางชนิด แล้วใส่วัตถุดิบอื่น ๆ ที่สามารถใช้แทนกันได้ ยกตัวอย่าง การใส่สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น อิริทริทอล โยเกิร์ต หรือจะใช้ความหวานจากผลไม้แทนก็ได้ความอร่อยที่ไม่แตกต่างกันมาก แถมยังดีต่อสุขภาพ ทานแล้วไม่อ้วนด้วยค่ะ